วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558
Protozoa
Balantidium coli

Balantidium coli เป็น เชื้อปาราสิต ที่ก่อให้เกิดโรคท้องร่วง( Balantidiasis) เชื้อ Balantidium
coli เป็น โปรโตซัว(protozoa) ชนิดหนึ่ง ใน
ธรรมชาติ มีวงจรชีวิต 2 ระยะ คือ ระยะ trophozoite และ ระยะ cyst
นับว่าเป็น เชื้อโปรโตซัว ที่มีระยะ trophozoite ในคน ที่ใหญ่ที่สุด เชื้อปาราสิต ชนิดนี้พบ ได้ตามที่ ต่างๆทั่วโลก
โดยเฉพาะ ภูมิประเทศ ที่มีอากาศร้อนชื้น ปกติตัว Balantidium coli พบได้ใน หมู, ลิง และหนู เฉพาะใน หมูพบว่า มี
การติดเชื้อ ถึงร้อยละ 65 มีรายงาน ทำให้เกิด ท้องร่วง (dysentery) ในคน ค่อนข้างน้อย ส่วนมาก พบใน กลุ่ม ประชากร ที่มี สุขอนามัยไม่สมบูรณ์ ประเทศไทย
ระหว่างปี พ.ศ.2468 ถึงพ.ศ. 2471 ที่จังหวัดเชียงใหม่ นายแพทย์ Cort ได้ทำการตรวจ อุจจระของ ผู้ป่วย 8,000 ราย พบเชื้อปาราสิต ชนิดนี้เพียง 14
ราย(0.175%) เฉพาะภายใน 3 เดือน ของปี พ.ศ.2468 พบถึง 12 ราย จากนั้นมา
ไม่มีรายงาน การเกิดโรค นี้ในคนอีก จนมาถึงปี พ.ศ.2505 รายงาน ผู้ป่วย 1 ราย
มีอาชีพ เลี้ยงหมู ที่ จังหวัด เชียงใหม่ ผู้ป่วยได้รับ การรักษาและ หายจากโรค
อย่างไรก็ตาม รายงานการเกิด โรคนี้ในคน พบ ค่อนข้าง น้อย ในปีพ.ศ.2515 ได้มี
รายงาน การตรวจศพ 1 ราย ที่ กรุงเทพฯมหานคร ทราบว่า เป็นโรคนี้ ภายหลังจาก ผู้ป่วย
เสียชีวิต จากการอักเสบ เป็นแผลในลำไส้ใหญ่ พบลำไส้แตก และเกิดช่องท้องอักเสบ
อนุกรมวิธาน
โปรโตซัวในกลุ่มซิลิเอตกลุ่มนี้อยู่ใน phylum Ciliophora, จัดอยู่ใน class Kinetofragminophorea, subclass Vestibuliferia, order Trichostomatida, suder Trichostomatina
สัณฐานวิทยา

Balantidium coli เป็นโปรโตซัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่พบในคน

Balantidium coli – trophozoite

Balantidium coli - cyst
ระยะ trophozoite ย้อมสีด้วย ircn-hematoxylin รูปร่างรูปไข่ ขนาด 40-200 * 30-120 ไมโครเมตร รอบตัวมีขนสั้นๆ (cilia)
อยู่เป็นจำนวนมาก
มีช่องปาก (cytostom) เป็นรูปกรวย มองไม่ชัด มี food vacuole และมี contratile
vacuole ขนาดใหญ่ 1 อัน นิวเคลียสมี 2 อัน อันใหญ่เรียก macronucleus
รูปคล้ายถั่วเห็นได้ชัดติดสีดำ
และอันเล็กเรียก micronucleus อยู่ใกล้กับอันใหญ่
สรีรวิทยา
Trophozoites เป็นรูปไข่ปกคลุมด้วยขนสั้นมีความยาวใกล้เคียงกัน
มีขนาด 50-200*40-70 ไมโครเมตร ที่ข้างหนึ่งของแกนกลางลำตัวตามยาวมีร่องเข้าไปรูปกรวยคว่ำ
ลึกโค้งเล็กน้อย ระยะโทรโฟซอยต์กินอาหารทางร่องปาก คือปาก (cytostoma ) ปลายด้านหางกลมกว้าง cytoplasm มี food vacuoles จำนวนมาก และมี contractile
vacuole หนึ่งหรือ สองอัน
ที่ปลายด้านหางมีรูเปิดเล็กๆเรียก cytopyge
อยู่ภายในเซลล์เยื่อหุ้มซึ่งใช้ขับถ่ายของเหลือค้าง
จาก food vacuoles Balantidium
coli มี
2 nuclei เห็นชัดเจน ซึ่งประกอบไปด้วย นิวเคลียสใหญ่ (macronucleus)
รูปร่างคล้ายถั่ว
นิวเคลียสเล็ก (micronucleus) อยู่ในโค้งด้านในของนิวเคลียสใหญ่ มีลักษณะเป็นก้นกลมติสีเข้มมาก
เชื่อว่ามีหน้าทีเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวควบคุมเกี่ยวกับการเจริญเติบโต
การแบ่งตัวแบบไม่อาศัยเพศ สำหรับไมโครนิวเคลียสมีขนาดเล็ก
มีหน้าที่ควบคุมเกี่ยวกับการแบ่งตัวแบบอาศัยเพศ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรม
วงจรชีวิต

วงจรชีวิตของ Balantidium coli ระยะ cyst เป็นระยะตดิต่อโดยการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อน เมื่อ cyst เข้าสู่ร่างกายจะเกิดexcystationที่ลําไส้เล็กและได้ trophozoite
ออกมาและไปรวมกันอยู่ที่ลําไส้ใหญ่ และแบ่งตัวแบบ binary fission บางครั้งอาจเกิดการ conjugate
กันได้ trophozoite
มีการ encystations
และได้ผลผลิตเป็น
cyst ออกมากับอุจาระ
การติดเชื้อ
เชื่อว่า ผู้ป่วยติดเชื้อนี้ ได้โดยทานอาหาร
หรือน้ำดื่ม ที่มีระยะ cyst ลงในลำไส้ แต่ การติดเชื้อ ที่ แท้จริงในคน
ยังไม่ทราบ แน่ชัด และการติดเชื้อ สู่คนค่อนข้างยาก ภายในลำไส้ใหญ่ trophozoites
จะออกจาก cyst มาทำลาย เยื่อบุลำไส้คน
โดยเฉพาะบริเวณ cecum ทำให้ลำไส้ เกิดแผล (ulcer) มากมาย แผลเหล่านี้ คล้ายกับแผล ที่เกิดจาก อะมีบา แต่ใหญ่กว่า ตัว trophozoites
มีรูปร่างกลมรี ปกคลุมด้วยขน (cilia) โดยรอบ
ภายในมี นิวเคลียส ขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายไต เรียกว่า macronucleus และนิวเคลียสขนาดเล็ก เรียกว่า micronucleus อยู่ภายใน
ซัยโตพลาสม์ของมัน สำหรับ cyst มีขนาดเล็กกว่า มีรูปร่างกลม หุ้มด้วยผนัง
2 ชั้นใส สามารถ มองเห็น เชื้อปาราสิต เคลื่อนไหว อยู่ภายใน เส้นผ่าศูนย์กลางของ cyst
ประมาณ 51-54.6 ไมครอน
พยาธิสภาพ
พบเป็นแผล (ulcer)
ที่ลำไส้ใหญ่โดย เฉพาะที่บริเวณ cecum นอกนั้น
อาจพบได้ที่ ascending colon, sigmoid colon,rectum และไส้ติ่ง
ลักษณะพยาธิสภาพ มองด้วยตาเปล่า แยกยาก จาก amoebic ulcerative colitis ภาพจาก กล้องจุลทรรศน์ พบการตายของเนื้อเยื่อ เป็น หย่อมๆ
ตลอดแนวลำไส้ใหญ่ เกิดเป็นแผลที่ เยื่อบุผนังลำไส้ หลายแผล ผนังชั้น submucosa
และ muscular พบบวมน้ำทั่วไป อย่างเห็นได้ชัด
ตลอดจนพบ เซลล์อักเสบ ชนิดเฉียบพลัน กระจาย ไปทั่วบริเวณ โดยเฉพาะ เซลล์อักเสบชนิด
neutrophils เยื่อ fibrin พบค่อนข้างน้อย
ในบริเวณที่ อักเสบเหล่านี้ สามารถตรวจ พบเชื้อระยะ trophozoites ของ B. coli เป็นจำนวนมาก ตลอดทุกชั้น ของผนังลำไส้
รวมทั้งที่บริเวณ เยื่อบุผิวและ ภายในท่อน้ำเหลืองข องผนังลำไส้ นอกจาก
พบในลำไส้แล้ว ยังอาจพบ ได้ที่ต่อมน้ำเหลือง ข้างเคียงได้ และอาจ เกิดพยาธิสภาพ
อื่นๆตามมาเช่น ตกเลือด (hemorrhage) ลำไส้ทะลุ (perforation)
และ ช่องท้องอักเสบ (peritonitis)ได้
อาการทางคลินิก
ผู้ป่วยมีไข้ คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง
และท้องร่วงมากน้อยเป็นรายๆไป บางราย ถ่ายเป็น เลือด น้ำหนักลด หรือบางคน
ไม่มีอาการ แต่เป็น ตัวเก็บเชื้อ (carrier) ผู้ป่วย
ส่วนมากมี ประวัติอาชีพ เลี้ยงและขายหมู
การวินิจฉัย
โดยการตรวจพบ พยาธิสภาพ ของแผล
และเชื้อปาราสิต ในชิ้นเนื้อพยาธิ หรือตรวจ จากอุจจระพบ เชื้อระยะ trophozoite
หรือระยะ cyst
การรักษา
Metronidazole
400 – 800 มก. วันละ 3 ครั้ง นาน 10 วัน
Tetracycline 500 มก. วันละ 4 ครั้ง นาน 10 วัน
การป้องกัน
โดยดื่มน้ำและกินอาหารที่ปรุงสุกถูกหลักอนามัย
เมื่อมีผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับสุกรมีอาการของโรคเกิดขึ้นควรจะนึกถึงโรคนี้ไว้ด้วย
นอกจากนั้นควรจะทำให้การสำรวจหาแหล่งที่เป็นรังเก็บโรคในสุกรเพื่อจะได้กำจัดให้หมดไป
ในสุกรตรวจพบเชื้อส่วนมากจะไม่แสดงอาการป่วยให้เห็น
Helmint
พยาธิแส้ม้า Trichuris trichiura

ตัวเต็มวัยเพศเมียเเละเพศผู้ของพยาธิ Trichuris
trichiura
โรคพยาธิเเส้ม้า คือโรคที่เกิดจากพยาธิตัวกลมที่ชื่อ ทริคูริส
ทริคิยูร่า (Trichuris trichiura) หรือที่เรียกกันว่า
พยาธิเเส้ม้า ที่เรียกอย่างนี้เพราะตัวพยาธิมีรูปร่างคล้ายเเส้ โดยมีหัวเรียวยาวคล้ายปลายเเส้ เเละส่วนท้ายของลำตัวอ้วนใหญ่คล้ายด้ามเเส้
พยาธิตัวเต็มวัยใช้ส่วนหัวฝังอยู่ในบริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนต้น
พยาธิตัวผู้มีความยาวประมาณ 30-45 มม.
ส่วนพยาธิตัวเมียมีความยาวประมาณ 35-50 มม.
การระบาด
มีการระบาดมากในเขตอากาศร้อนชื้น โดยเฉพาะในภาคใต้
ซึ่งมีฝนตกชุกตลอดปี ความชื้นสูง เเละมีร่มเงาจากต้นยางพารา ซึ่งเเสงเเดดส่องลงไปไม่ถึง เหมาะกับการเจริญของไข่พยาธิชนิดนี้ เเหล่งระบาดของพยาธิเเส้ม้ามักคล้ายคลึงกับของพยาธิไส้เดือนกลม
จึงมักพบพยาธิทั้งสองนี้ระบาดร่วมกันเสมอ
วงจรชีวิติของพยาธแส้ม้า

พยาธิตัวแก่อาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่โดยเฉพาะส่วนซีคั่ม
ยาธิตัวเมียจะออกไข่วันละ 3000-7000 ฟอง ไข่จะออกมากับอุจาระ ลงสู่พื้นดิน
เมื่ออุณหภูมิและความชื้นพอเหมาะ ไข่จะเจริญเติบโตเป็นระยะ 2
เซลล์ และจะกลายเป็นตัวอ่อน ( advanced
cleavage stage) และจะกลายเป็นตัวอ่อนในระยะติดต่อ ๙งใช้เวลาทั้งหมด 15-30
วัน หลังจากที่คนรับประทานไข่เข้าไป
ไข่จะแตกเป็นตัวอ่อนที่ลำไส้เล็ก และตัวอ่อนจะเจริญเติบโต และจะกลายเป็นตัวอ่อนที่ลำไส้ใหญ่ โดยใช้ส่วนหัวและลำตัวฝังที่ผนังลำไส้ใหญ่
ตัวแก่จะมีความยาวประมาณ 4 เซ็นติเมตร
ตัวเมียจะเริ่มวางไข่หลังจากรับประทาน 60-70 วัน ตัวพยาธิจะมีอายุประมาณ
1 ปี
การติดต่อ
การติดต่อของพยาธิเเส้ม้าจะคล้ายคลึงกับของพยาธิไส้เดือนกลม
คนติดโรคโดยการกินไข่พยาธิระยะติดต่อ ที่ปนเปื้อนเข้าไปกับอาหาร น้ำดื่ม
หรือที่ติดมากับเเมลงวันที่ตอมอาหาร ในเด็กเล็กที่ชอบเล่นคลุกคลีกับดิน
อาจกินไข่พยาธิที่ติดมากับมือเข้าไปโดยตรง
อาการของโรค
ถ้ามีพยาธิน้อยอาจจะไม่เกิดอาการ
แต่ถ้ามีพยาธิมากอาจจะเกิดอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน
หรืออุจาระเป็นมูกเลือด ซีดอ่อนเพลีย
ทั้งนี้เพราะพยาธิจะทำให้เกิดการอักเสบของลำไส้ และเกิดติดเชื้อแบคทีเรีย
การวินิจฉัย
ตรวจอุจาระไข่และตัวแก่ในอุจาระ
ไข่จะมี plug ที่ขั้วทางปลายทั้งสองข้างมีเปลือกสีน้ำตาล



การรักษา
ยาที่ให้ผลในการรักษาคือ mebendazole เเละ albendazole เเละอาจให้ยารักษาซ้ำ ถ้ามีการติดเชื้อจำนวนมาก
การป้องกัน
รักษาอนามัยส่วนบุคคลเเละสิ่งเเวดล้อมให้ดี
เช่นการล้างมือให้สะอาดก่อนการกินอาหาร กินอาหาร เเละน้ำดื่มที่สะอาด
ผักที่ต้องการกินสด ควรล้างดินออกให้สะอาด ไม่ให้มีการปนเปื้อนของไข่พยาธิ
สร้างนิสัยการถ่ายอุจจาระลงส้วมให้ถูกสุขลักษณะ
Bacteria
Streptococcus suis

โรคติดเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส (Streptococcus suis ) เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Streptococcus
suis ในสกุล Streptococcus ในตระกูล Streptococcaeae ย้อมติดสี แกรมม่า รูปกลม ถูกจัดอยู่ใน Lancefield กลุ่ม D, R หรือ S สามารถสร้างแคปซูลและสลายเม็ดเลือดแดง มีการจัดแบ่งเชื้อตามลักษณะของ Capsular Antigen เป็นซีโรไทป์ (Serotype)
ต่าง ๆ ถึง 29 Serotypes ปัจจัยที่มีผลต่อความรุนแรงในการก่อโรคของเชื้อแต่ละซีโรไทป์จะแตกต่างกัน
โดยขึ้นอยู่กับสาร Muramidase-released protein (MRP) และ Extracellular protein (EP) ซึ่งพบว่า
ซีโรไทป์ที่มีความรุนแรงสูงในการก่อโรคในคนคือ Serotype
2 และ 1 ตามลำดับ
เชื้อแบคทีเรีย Streptococus
suis เป็นเชื้อที่อยู่ในโพรงจมูกและต่อมน้ำลายของหมู
เชื้อดังกล่าวพบได้ในหมูทั่วไปจนกลายเป็นเชื้อประจำถิ่น เมื่อหมูอยู่ในภาวะเครียด
เช่น อยู่ในที่แออัด อากาศชื้นหรือหนาวจากฝนตกหนัก ภูมิคุ้มกันของหมูจะลดลง
เชื้อดังกล่าวจึงฉวยโอกาสเข้าสู่กระแสเลือดทำให้หมูป่วยหรือตาย
ส่วนเชื้อดังกล่าวเข้าสู่คนได้ 2 วิธี คือ
เมื่อร่างกายคนมีแผลไปจับต้องหมูและกินเนื้อหมูหรือเลือดสด
อาการโรคติดเชื้อสเตรปโตคอกคัส
ซูอิส
ระยะฟักตัวและอาการในสัตว์
โดยปกติสุกรที่มีการติดเชื้อมักไม่แสดงอาการ
ส่วนใหญ่เชื้อจะอยู่บริเวณต่อมทอนซิลบริเวณเพดานปาก (palatine tonsil) และเยื่อเมือกบุในโพรงจมูก
โดยปกติสุกรที่มีเชื้อไม่แสดงอาการ
เมื่อสุกรอยู่ในภาวะเครียด เช่น เลี้ยงอย่างแออัดอยู่ สภาพอากาศเย็น
และมีระบบการถ่ายเทอากาศไม่ดี
ทำให้ร่างกายสัตว์อ่อนแอเชื้อจะฉวยโอกาสจนเป็นสาเหตุให้เกิดอาการสมองอักเสบ
ข้ออักเสบแบบรุนแรง กล้ามเนื้อและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
มีการติดเชื้อในกระแสโลหิตจนถึงขั้นเสียชีวิต
กลุ่มสุกรที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเป็นสุกรหย่านม สุกรขุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุกรที่อยู่ในช่วงอายุ
8 - 15 สัปดาห์
ระยะฟักตัวและอาการในคน
ระยะฟักตัวของโรคประมาณ 1 - 3 วัน
อาการที่พบได้แก่ มีไข้ คลื่นเหียน ปวดศีรษะ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ข้ออักเสบ
ม่านตาอักเสบ ผู้ป่วยอาจสูญเสียการได้ยิน จนถึงขั้นหูหนวก ภายหลังที่หายจากอาการป่วยแล้วอาจจะมีความผิดปกติในการทรงตัว
ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิตเนื่องมาจากการติดเชื้อในกระแสโลหิต
การติดต่อระหว่างสัตว์สู่คน
คนสามารถติดเชื้อจากการสัมผัสกับสุกรที่ติดโรค
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร คนทำงานในโรงฆ่าสัตว์ คนชำแหละเนื้อสุกร
สัตวบาล และสัตวแพทย์ เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผล รอยถลอก หรือเยื่อบุตา
รวมทั้งการบริโภคเนื้อสุกรที่ไม่ผ่านการปรุงสุกก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อนี้ได้
การรักษาในคน
โรคนี้สามารถรักษาให้หายโดยการให้ยาปฏิชีวนะ
โดยยาที่รักษาได้ผลได้แก่ แอมพลิซิลิน, เพนนิซิลิน, ซีฟาแลคซิน, คลาวูลานิคแอซิค
และซิโปรฟลอกซาซิน โดยธรรมชาติ เชื้อ Streptococcus จะถูกทำลายด้วยความร้อน
การกินอาหารแบบปรุงสุกจึงลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคในคน นอกจาก
นี้ผู้ปฏิบัติงานในฟาร์มหรือโรงฆ่าสัตว์ ควรปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักสุขาภิบาล
สวมรองเท้าบู๊ต หรือ สวมถุงมือระหว่างปฏิบัติงาน
จะป้องกันการแพร่เชื้อจากสุกรมาสู่คนได้
การป้องกัน
เนื่องจากเชื้อนี้มีสุกรเป็นสัตว์พาหะนำโรคซึ่งมักไม่แสดงอาการป่วย
ดังนั้นการเลี้ยงดูสุกรให้อยู่ในสภาวะสุขาภิบาลที่ดี เช่น
ไม่เลี้ยงให้อยู่กันอย่างแออัด อากาศในโรงเรือนถ่ายเทได้ดี
สามารถป้องกันความหนาวเย็นขณะที่มีอากาศเปลี่ยนแปลงกะทันหันได้ สุกรจะมีร่างกายแข็งแรง
เชื้อ Streptococcus suis ที่มีอยู่ในช่องปากและโพรงจมูกก็ไม่สามารถเพิ่มจำนวนและฉวยโอกาสก่อให้เกิดโรคในสุกรได้
นอกจากนั้นแล้วควรหลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อสุกรดิบ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ
Virus
Rotavirus
โรต้าไวรัส (Rotavirus)
โรคอุจจาระร่วงหรือที่มักเรียกกันว่า
“โรคท้องร่วง” มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ
ทั้งที่เกิดจากแบคทีเรียต่างๆ เช่น ซาโมเนลล่า (Salmonella) วิบริโอ
พาราฮีโมไลติคัส (Vibrio parahaemolyticus) ฯลฯ และไวรัส
โรต้าไวรัส (Rotavirus) เป็นไวรัสชนิดหนึ่งที่มีขนาดเล็กมาก
เมื่อส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะมีลักษณะเหมือน วงล้อ
ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคท้องร่วงเฉียบพลัน
โดยเฉพาะในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยอายุที่พบบ่อย คือ
เด็กที่มีอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี
สำหรับทารกแรกเกิดมีโอกาสพบเชื้อโรคนี้ในอุจจาระได้เช่นกัน แต่มักไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย
เนื่องจากได้รับการปกป้องและภูมิคุ้มกันจากมารดา โดยเฉพาะในทารกที่กินนมแม่
เพราะในน้ำนมแม่จะมีสารที่ช่วยปกป้องและยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อโรต้าไวรัสระยะฟักตัวประมาณ
24-48 ชั่วโมง ก่อนจะเกิดอาการ
การจำแนกกลุ่มของไวรัส
อาการ
การวินิจฉัย
การรักษา
การป้องกัน
ไวรัสโรตา (Rotavirus) นี้เป็นไวรัสกลุ่มอาร์เอ็นเอ
(Double-stranded RNA virus) ในตระกูล (Family) Reoviridae ซึ่งมี 7 สายพันธุ์ (A, B, C, D, E, F, G) เด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ขวบเกือบทุกคน จะติดเชื้อไวรัสนี้อย่างน้อยสักครั้งหนึ่ง
การติดต่อ
การติดต่อของโรคนี้ เกิดจากการกินสิ่งปนเปื้อนอุจจาระที่มีเชื้อนี้
เช่น เด็กมือเปื้อนแล้วอมหรือดูดนิ้ว หรือเชื้อ/อุจจาระติดกับของเล่น
หรือเครื่องใช้ จึงเป็นโรคป้องกันค่อนข้างยาก
ดังนั้นจึงมักมีการระบาดของไวรัสโรตาในโรงเรียนเด็กเล็ก หรือสถานเลี้ยงเด็ก
เด็กเล็กโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อายุน้อยกว่า
3 เดือน จะมีภูมิคุ้มกันต้านทานต่อไวรัสโรตาที่ผ่านรกมาจากแม่ตั้งแต่ตอนอยู่ในครรภ์
และเด็กที่กินนมแม่จะมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสโรตามากกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่
จึงมักพบท้องร่วงจากไวรัสโรตาในเด็กสองกลุ่มนี้น้อยกว่าเด็กกลุ่มอื่นๆ
เชื้อไวรัสโรตาที่อยู่ในตัวเด็กที่เป็นโรค จะแพร่ไปให้ผู้อื่นทางอุจจาระได้
ตั้งแต่ประมาณ 1-2
วันก่อนมีอาการท้องร่วงจนกระทั่งประมาณ 10
วันหลังจากเริ่มมีอาการ ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง
จะพบเชื้อในอุจจาระนานกว่า 30
วันหลังจากการติดเชื้อ
ทั้งนี้ เชื้อที่ออกจากร่างกาย ไปติดตามสิ่งของต่างๆ
จะคงทนอยู่นานหลายเดือน หากไม่เช็ดออกด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
ซึ่งเชื้อเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดการติดโรคได้เช่นกัน
กลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดท้องร่วงจากเชื้อโรตาไวรัส
เด็กทุกคนมีโอกาสเกิดโรคนี้ โดยส่วนใหญ่มักเกิดในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ขวบ แต่ยังพบได้จนถึง 5 ขวบ
กล่าวได้ว่าเด็กที่อายุ 5
ขวบเกือบทุกคนมักจะเป็นโรคนี้อย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต
อย่างไรก็ตาม เด็กที่มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้มากกว่ากลุ่มอื่นคือ
เด็กที่มีโอกาสสัมผัสเชื้อได้มาก เช่น เด็กที่อยู่ในที่ที่มีเด็กรวมกันมากๆ เช่น
โรงเรียน สถานเลี้ยงเด็ก เด็กที่นอนรักษาตัวในโรงพยาบาล และเด็กที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายบกพร่อง
(เด็กกลุ่มนี้เมื่อติดเชื้อจะมีอาการรุนแรงและหายช้ากว่าเด็กกลุ่มอื่นๆ
สาเหตุของโรคท้องร่วงในเด็ก
สาเหตุส่วนใหญ่ของโรคท้องร่วง/ท้องเสีย/ท้องเดินในเด็ก
เกิดจากการติดเชื้อ ได้แก่ เชื้อไวรัสต่างๆ แต่ที่พบบ่อยคือไวรัสโรตา (Rotavirus) เชื้อแบคทีเรีย เช่น ไทฟอยด์ พาราไท ฟอยด์
เชื้อโรคบิด ซัลโมเนลลา (Salmonella) ชิเกลลา (Shigellosis) อหิวาตกโรค (Cholera)
และอื่นๆ
ในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี
มีปัญหาเรื่องการติดเชื้อทางเดินอาหารเป็นปัญหาหลักคล้ายกันทั่วโลก
จากข้อมูลในประเทศไทย พ.ศ. 2553
ในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี
ที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวเป็นผู้ป่วยนอนในโรงพยาบาล
การติดเชื้อทางเดินอาหารเป็นการตรวจพบเป็นอันดับ 2 (รับไว้รักษาในโรงพยาบาล
124,975 ราย)
รองจากการติดเชื้อทางเดินหายใจที่ตรวจพบเป็นอันดับ 1
และมีการเสียชีวิตของเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี
จากการติดเชื้อทางเดินอาหารเป็นอันดับ 10 (49 ราย)
ท้องร่วงในเด็กเป็นปัญหาที่พบบ่อย ทั้งที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอกและทั้งที่ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาลที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอกทั่วประเทศพบว่า
ท้องร่วงจากการติดเชื้อพบมากในเด็กอายุ 2 ขวบปีแรก
โดยอัตราสูงสุดอยู่ระหว่างอายุ 6 เดือนถึง 18 เดือน เด็กท้องร่วงที่ต้องนอนโรงพยาบาลอัตราสูงสุดจะอยู่ที่อายุ
6 เดือนถึง 15 เดือน
ซึ่งข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่า เด็กเล็กมีโอกาสเสี่ยงต่อท้องร่วงมาก
และทำให้เกิดอาการรุนแรงจนอาจเสียชีวิต
อาการ
เมื่อได้รับเชื้อไวรัสโรตาเข้าสู่ร่างกาย จะมีระยะฟักตัวสั้น
คือส่วนใหญ่น้อยกว่า 48 ชั่วโมง (ระยะเวลาตั้งแต่ 1-7 วัน)
เชื้อเมื่อเข้าสู่ทางเดินอาหารที่ลำไส้เล็กจะทำลายผนังลำไส้เล็ก
ทำให้การดูดซึมน้ำและเกลือแร่ลดลง และเอนไซม์ (Enzyme)
สำหรับย่อยคาร์โบไฮเดรตผิดปกติ
ทำให้มีอาการท้องร่วง/ท้องเสีย/ท้องเดิน ถ่ายเป็นน้ำ ไม่มีมูกหรือเลือดปน
เด็กอาจจะมีไข้
มีน้ำมูกและไอเล็กน้อยนำมาก่อนคล้ายการติดเชื้อไวรัสอื่นๆ
แต่จะมีอาการช่วงสั้นๆแล้วมีอาการทางเดินอาหารตามมา มักมีอาเจียนมากใน 1-2 วันแรก
และท้องร่วงเป็นน้ำพุ่งหลายครั้ง หากไม่ได้รับเกลือแร่เพียงพอจะท้องอืดมาก
อาจถ่ายอุจจาระมากจนก้นแดง อาการอาเจียนจะเป็นในช่วงสองวันแรกแล้วดีขึ้น
แต่ท้องร่วงจะอยู่นานประมาณ 5-7 วัน
การวินิจฉัย
แพทย์วินิจฉัยท้องร่วงจากไวรัสโรตา ได้จาก อาการของเด็ก
และฤดูกาลที่เป็น ทั้งนี้การตรวจหาไวรัส มีข้อจำกัดในห้องปฏิบัติการทั่วไป
ส่วนใหญ่เป็นการตรวจเพื่อการศึกษาวิจัย อย่างไรก็ตาม
แพทย์จะแยกจากการเกิดท้องร่วงจากไวรัส และแบคทีเรีย ชนิดอื่น เช่น
-ไวรัสอะดีโน (Adenovirus
enteritis) มักมีอาการนาน 10-14 วัน
-ไวรัสนอร์วอล์ค (Norwalk
virus) ซึ่งมีระยะฟักตัวสั้นประมาณ
12 ชั่วโมง และมีอาการนาน 1-3 วัน
-หรืออาหารเป็นพิษจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Staphylococcus
aureus ซึ่งมีอาการอาเจียนมาก
การรักษา
เนื่องจากโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส การรักษาคือ
รักษาประคับประคองตามอาการ (ยาปฏิชีวนะ ไม่สามารถฆ่าไวรัสได้ ฆ่าได้แต่แบคทีเรีย)
โดยให้สารละลายเกลือแร่กินให้เพียงพอกับน้ำ/เกลือแร่ที่เสียไปกับการอาเจียนและท้องร่วง/ท้องเสีย/ท้องเดินซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการรักษา
หากเด็กกินไม่ได้ ต้องให้น้ำ/เกลือแร่ทดแทนทางหลอดเลือดดำ
โดยปกติเด็กมักจะไม่ค่อยยอมกิน หลักการที่ใช้ได้ผลส่วนมากคือ พ่อแม่
ผู้เลี้ยงดูเด็ก ต้องเข้าใจและพยายาม ไม่ยอมกินต้องพยายามป้อนให้ได้ตลอด
อาเจียนออก ก็ป้อนใหม่ ซึ่งอาการอาเจียนมักเกิดอยู่ประ มาณไม่เกิน 2 วัน
เมื่อมีไข้ รักษาอาการไข้โดยเช็ดตัวและให้ยาลดไข้
ให้ยาขับลมหากปวดท้องหรือท้องอืด ซึ่งการให้เกลือแร่ที่เพียงพอจะช่วยลดอาการท้องอืด
เพราะมีเกลือแร่โปแตสเซียม (Potas sium) เพียงพอที่ช่วยทำให้ลำไส้บีบตัวได้ดีขึ้น
หากเด็กหยุดอาเจียน ให้รับประทานข้าวต้ม หรือโจ๊กได้
หากเด็กถ่ายเป็นน้ำหลายวันและเด็กดื่มนมวัวอาจเกิดภาวะขาดเอนไซม์แลคเตสที่ใช้ย่อยนมวัว
ควรเปลี่ยนเป็นนมที่ไม่มีแลคโตส หรือให้นมถั่วเหลือง ในเด็กที่ให้นมแม่
ให้นมแม่ต่อไปโดยไม่ต้องเปลี่ยนนม
การรักษาที่ดีคือ ให้น้ำและเกลือแร่ทดแทนให้เพียงพอและให้ทันเวลา
เด็กจะไม่ซึม ปัสสาวะได้ดี ไม่หอบเหนื่อย
ปัสสาวะ เป็นสิ่งชี้วัดว่าน้ำในร่างกายเพียงพอหรือไม่ ควรติดตามเรื่องการปัสสาวะของเด็ก
หากเด็กปัสสาวะออกดี (ภายใน 4 ชั่วโมง ควรปัสสาวะอย่างน้อยหนึ่งครั้ง
และปริมาณไม่ควรน้อยกว่า 0.5 มิลลิลิตร ต่อน้ำหนักเด็ก 1 กิโลกรัม ต่อ 1 ชั่วโมง)
แสดงว่าทดแทนภาวะเสียน้ำได้ดี ซึ่งต้องทดแทนเกลือแร่ที่เสียไปด้วย เกลือแร่ที่มีขายเป็นซองใช้ได้
ดูการผสมให้ถูกต้องว่า 1 ซองผสมน้ำเท่าใด (อ่านจากฉลากยา หรือที่เขียนไว้บนซองยา)
หากหาเกลือแร่ไม่ได้ ให้ทำน้ำเกลือแร่เอง โดยใช้น้ำตาลทราย 3 ช้อนชา
(ช้อนยาเด็ก 3 ช้อนชาได้เท่ากับ 15 กรัม) ผสมน้ำสะอาด 750 มิลลิลิตร
(ขวดน้ำปลาที่มีคอคอด หรือ ใช้ขวดนม 8 ออนซ์ 3 ขวด กับอีก 1 ออนซ์)
ใส่เกลือประมาณครึ่งช้อนชาต้มให้เดือด
และทิ้งไว้ให้เย็นหรือใช้น้ำข้าวเติมเกลือและน้ำตาล หรือ ป้อนด้วยน้ำแกงจืด หากเด็กไม่ยอมกิน ก็ใช้ป้อนด้วย
น้ำอัดลม สไปรท์ (Sprite) หรือเซเวนอัพ (Seven up) หรือเครื่องดื่มประเภทเดียวกัน
ผสมน้ำอีกหนึ่งเท่าตัว เขย่าฟองออกก่อน ป้อนเด็กบ่อยๆ
การป้องกัน
การป้องกันโรคท้องร่วงจากโรต้าไวรัสที่สำคัญ
คือ
- ล้างมือ
ฟอกสบู่ให้สะอาดทุกครั้งก่อนปรุงอาหาร หลังเข้าห้องน้ำและเปลี่ยนผ้าอ้อม
- การดูแลทำความสะอาดสถานที่
ของเล่น ของใช้และภาชนะทุกชิ้น หลีกเลี่ยงการพาเด็กไปสถานที่แออัด
- ดูแลสุขอนามัย
อาหารและดื่มน้ำที่สะอาด
- เมื่อบุตรหลานป่วยด้วยโรคท้องร่วง
ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที
- การให้วัคซีนโรต้า
ซึ่งสามารถลดความรุนแรงของโรค
และช่วยลดโอกาสที่เด็กต้องนอนพักรักษาในโรงพยาบาลลงได้
ประเทศไทยในปัจจุบัน วัคซีนโรต้าเป็นชนิดรับประทาน โดยใช้หยอดทางปาก
จำนวน 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเด็กอายุ 2 เดือน และครั้งที่ 2 เมื่อเด็กอายุ 4 เดือน (วัคซีนชนิดนี้ต้องให้เร็วตามช่วงอายุ
เนื่องจากเด็กเล็กมีโอกาสติดเชื้อได้เร็ว ในเด็กอายุ < 6 เดือน)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)